จากวันนั้นถึงวันนี้…”บังลิค ฮิปสเตอร์”
จากวันนั้นถึงวันนี้…”บังลิค ฮิปสเตอร์”
Profile :
ชื่อจริง : นรินทร เจ๊ะหมัด
ชื่อเล่น : บังลิค
วันเกิด : 28 พฤศจิกายน 2528
การศึกษา : ระดับ ปวช.
อายุ : 34 ปี
พี่น้อง : พี่น้อง 3 คน เป็นคนโต
งานปัจจุบัน : ร้านบาร์เบอร์ Hipster. Barbershop แบรนด์ผลิตภัณฑ์ Hoffman.Pomade
คติประจำใจ : กฎของการเดินไปข้างหน้า ห้ามเสียดายกับทุกสิ่งที่เคยผ่านมา
“บังลิค ฮิปสเตอร์” ชื่อนี้ไม่ธรรมดา ในแวดวงสายบาร์เบอร์แนววินเทจ ที่ไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อเสียงและร้านตัดผมมากมายหลายสาขาของเขา แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยวัยเพียง 30 ต้นๆ กับแนวคิดแบบผู้ใหญ่ มีความมุ่งมั่นตั้งใจ บวกกับความระมัดระวังทุกก้าวเดินของชีวิต ทำให้วันนี้ ชีวิตของบังลิค ผ่านทุกอุปสรรคปัญหา ตั้งหลักปักฐานชีวิตได้อย่างมีความสุข โดยเขาได้เริ่มต้นเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟังว่า….
“หากจะพูดถึงงานการตัดผม มันก็เริ่มจากตัวผมเองรู้สึกเบื่องานประจำ คือก่อนนี้ผมก็เป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่ยึดอาชีพงานออฟฟิศ และทำมานาน 14 ปี ได้ ผมทำนิตยสาร ในเครือของชีวิตจริง คู่สร้างคู่สม อัลบั้มชีวิตดารา โดยทำหน้าที่ด้านการตลาด เดินสายต่างจังหวัด ตอนแรกเริ่มจากคนขับรถก่อน พอเราเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง จากที่พี่ๆ เขาก็สอนงานให้ จนถึงยุคหนึ่งเริ่มเบื่อ อยากมีกิจการของตัวเอง ก็เลยคิดว่าทำไมเรามองข้ามงานตัดผมไป สมัยนั้นงานตัดผมในราคาค่อนข้างสูงไม่ค่อยมี ผมก็เริ่มหาแรงบันดาลใจ ก็เรียนตัดผมโดยที่ยังไม่ลาออกจากงาน เรียนวันหยุด หลังเลิกงานประจำ เราก็ลงตามร้านแถวตลาดรถไฟ คือทำงานกลางคืนหลังเลิกงาน จนวันหนึ่งเรามีเหตุการณ์ที่ต้องเลือก มีเงินก้อนให้เรา 100,000 บาท สุดท้าย เราต้องเลือกแล้ว เราจะทำยังไง ก็คิดว่าถ้าออกมาแล้วมันจะล้มมั้ย คิดอยู่นานกว่าจะตัดสินใจออกงานจากงานมา”
การตัดสินใจออกจากงานในครั้งนั้น แนวคิดของบังลิคคือรู้สึกเบื่อการทำงานในตัวเมือง และเบื่อกับสังคมหน้ากาก ที่เน้นเส้นสาย เด็กใครเด็กมัน แม้เขาจะผ่านงานมามากมาย แต่งานที่ทำมาก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาเป็นเจ้าของและครอบครองได้ ด้วยต้นทุนชีวิตที่ไม่สูงเหมือนใคร บังลิคก้าวมาเป็นเจ้าของกิจการด้วยความรอบคอบ และใช้ความรอบรู้จากประสบการณ์งานที่ผ่านมา ให้ตัวเขา ก้าวมาถึงวันนี้ของชีวิตได้ในที่สุด
“มันเป็นช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจจริงๆ คือตอนนั้นผมเบื่อกับคนทุกชนิดที่เราเคยเจอ สังคมหน้ากากที่ผมเจอมาตลอดหลายสิบปี เรียกว่าถ้าคุณอยู่เมืองหลวง แล้วคุณไม่เก่งเรื่องสังคมหน้ากากคุณก็อยู่ไม่ได้ ผมก็เลยออกมาอยู่บ้านนอกดีกว่า บ้านนอกของผมก็คือบ้านผม แถวหนองจอก ออกมาเปิดร้านตัดผมร้านแรก ในราคาที่เด็กๆ อาจจะยังไม่กล้าตัด เพราะราคาค่อนข้างสูง แต่พอทำจริงๆ แค่เดือนแรก ลูกค้าพูดกันปากต่อปาก ร้านตัดผมของผมแม้จะราคาสูงกว่าชาวบ้านเขา อาจโดนคำดูถูกจะอยู่ได้ยังไง กลับทำให้ธุรกิจร้านตัดผมที่ทำต้องขยายสาขา จากสองโต๊ะ เป็นสี่โต๊ะ ผมก็นำหลักการตลาดที่ผมมีอยู่แล้ว หนึ่งเดือนแรก ขยายร้านออกเป็นสองห้อง พอจบเดือนที่ 2 ต่อคิวกันจนหางแถวยาวเลย ช่วงนั้นผมได้เพื่อนที่เรียนมาด้วยกันมาช่วยงาน ก็เลยคุยว่าเราก็ต้องช่วยกันนะ เราจะเปิดร้านที่มีนบุรีอีกสาขาหนึ่ง พอขึ้นเดือนที่สาม ผมสะกิดใจ ตรงที่ผมเคยมีเป้าเหมายว่าอยากมีร้านพียงร้านเดียวในตลาดมีน เพราะตลาดเก่าแก่และใหญ่โตมาก แต่เขาไม่ให้เพราะมีร้านตัดผมเยอะอยู่แล้วนะตอนแรก แต่พอเสนอโปรเจ็คท์เขาชอบ และเราก็ตั้งใจจริง และงานที่ทำของเราออกมาดีจริง ผมถือนิยามคือ งานดีแค่ไหน ต่อให้คุณอยู่ในถ้ำก็มีคนเข้ามาหาคุณ ก็เลยกล้าเดินต่อ เอาทุนจากหนองจอกมาตลาดมีน ช่วงหนึ่งก็ได้รับแรงกดดันในตลาดว่ามาเปิดใหม่ด้วยราคาที่แพงกว่าชาวบ้านเขา หลังจากนั้นเขาก็ดูถูกว่าเราอยู่ไม่ได้หรอก แต่ผมก็พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าผมทำให้ร้านผมติดภายในสองเดือน ก็รับสมัครช่าง รับพี่น้องเราเข้มา ให้โอกาสกับคนที่พอตัดได้ แล้วเราสอนให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งร้านเราเป็นร้านสไตล์วินเทจเจ้าแรกในตลาดมีน ตอนนี้ก็ได้เป็นวินเทจเจ้าเดียวในตลาดมีนเลย ไม่เหมือนใคร หลังจากนั้นขึ้นเดือนที่ 5 ผมเริ่มขยับขยายต่อ ไปนิคมลาดกระบังเป็นสาขา 3 ไม่หวังจะรวยคนเดียวแล้ว ก็ขายหุ้นส่วนให้น้อง 20 เปอร์เซ็นต์ ทุกสองเดือนก็เปิดสาขาไปเรื่อยๆ จาก 1 ไป 2 จาก 3 ไปต่อเติม 4 ตอนนี้ผมเปิด 6 สาขาภายใน 1 ปี เราใช้การตลาด การผูกขาดลูกค้าและการบอกต่อ มันขึ้นอยู่ที่การทำตลาดให้ลูกค้าติดและบอกต่อ 1 ปีผมทำได้ 6 สาขา หลังจากนั้นผมเปิดสาขาที่ 7 ช่วงปลายปี ครับ”
ไม่ใช่เพียงกิจการบาร์เบอร์ของบังลิค ภายใต้ชื่อ ฮิปสเตอร์ เท่านั้น ยังมีโอกาสที่ยื่นมาถึง และบังลิครับเอาไว้ จนมีโอกาสได้มีผลิตภัณฑ์เป็นของตัวเอง กับอีกหนึ่งความฝันของเขา
“ในส่วนของผลิตภัณฑ์ ก็นับว่าเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่เราต้องเลือกนะครับ เพราะตอนนั้น มีคนแนะนำเรื่องผลิตภัณฑ์มา ซึ่งเราก็อยากมีผลิตภัณฑ์ของเราเอง ก่อนนั้นเราใช้ผลิตภัณฑ์จากจีน แต่ถ้ามีของเราเอง เราใช้ของเราเองก็ได้ มีคนเสนอว่าทำแบรนด์ดูมั้ย เราก็ทำเองขายเอง พอสาขา 7 ไม่มีเวลาทำแล้ว ก็ต้องเลือกว่าจะทำแบรนด์หรือเอาร้าน ผมก็เลยเลือกทำแบรนด์และยุบร้านสาขาที่ 7 แบรนด์ทำ 1 ปีสมัยก่อนต้องมีทุน 500,000 บาทต่อหนึ่งชิ้น แต่เขาเสนอมาว่าถ้าเราไม่ทิ้งเขา สามารถจ้างเขาต่อเนื่องได้ เราก็คิดว่าภายใน 1 ปีเราต้องทำให้ได้ 3 ตัว เป็นการช่วยๆ กัน ผมก็ใช้การตลาดแบบนั่งในใจคนมาใช้เลย จนสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ได้ 10 ตัว ภายใน 1 ปี โดยการที่ได้รับการสนับสนุนจากพี่น้องบาร์เบอร์ สามารถส่งขายได้ทั้งประเทศแล้ว แต่ผมขายทางเฟสบุ๊คกับเพื่อนเราก่อน เรายังไม่ได้ทำการตลาดกว้างมากตัวที่ 10 สิ้นปีนี้ก็จะครบ 10 ตอนนี้เรามีร้าน 6 สาขา ผลิตภัณฑ์อีก 10 ตัว ครับ”
การขยับขยายยังคงมีต่อยอดอย่างต่อเนื่อง ด้วยความขยัน และสร้างสมประสบการณ์อย่างสม่ำเสมอ ร้านบาร์เบอร์ของบังลิค จึงยังคงขยายสาขาของร้านออกไปอีก ภายใต้แนวคิดที่ไม่เหมือนใคร
“สรุปคือ ตอนนี้ก็เริ่มมีร้านสาขาที่ 7 ที่ 8 ต่อ ทำในละแวกของเรา มีนบุรี หนองจอก ร่มเกล้า ลาดกระบัง เพราะเราเบื่อชีวิตคนเมือง และชานเมืองมันทำให้เราเติบโตได้ไวกว่า ในตัวเมืองร้านเยอะ ต้นทุนสูง แต่นอกเมืองใน 1 ปี ผมเปิดได้ 6 สาขา เขาเห็นการทำงานของเรา เติบโตไว แต่เราทำยังไงให้สาขาได้ขนาดนี้ ผมเลยบอกว่า หนึ่งผมได้จากการตลาดที่ผมทำมาเป็นสิบปี สอง ใจเขาใจเรา ปกครองคน เราเป็นลูกน้องเขา เราอยากได้อะไร เราเป็นเจ้านาย อยากได้อะไรไม่อยากได้อะไร เราก็เริ่มได้รับโอกาส พี่เอที่เป็นไอดอลก็ชวนทำแบรนด์ ทำงานจัดงาน กับอ.แม็ค ยูเทิร์น ก็บอกลองทำดู อีกหน่อยพวกพี่แก่แล้วก็จะได้ทำต่อได้ อาจารย์เขามองในมุมมองว่าเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่มีความคิดเหมือนช่างรุ่นเก่า พอเราอยู่ในวงการนี้ เราเบื่อการทำงานที่เด็กใครเด็กมัน ไม่ศรัทธาในวงการนี้ เราก็ยืนเลยว่าเราจะทำงานด้วยความเชื่อใจ ผลักดันวงการอย่างเต็มกำลัง พี่เขาก็เห็นว่าเราเก่ง ทำงานแบบนี้ เราก็ต้องบริหารเวลาให้ดี ทั้งงานร้าน แบรนด์ การจัดงานต่างๆ พี่เขายื่นมือมาให้ ผมก็ทำในวงการนี้มาจนเด็กสายวินเทจ ยกให้ผมเป็นไอดอลของพวกเขาเลย คือทำงานตรงไปตรงมา ไม่ใช้แบบเด็กใครเด็กมัน ส่งเข้าประกวด เราต้องคิดว่านี่คือการแข่งขัน เด็กรุ่นใหม่ก็ยอมรับว่าบังลิคแน่นอนที่สุดแล้วเรื่องการจัดงานตัดผม พอผมเริ่มมีแบรนด์ด้วย ผมก็เริ่มหาแขนหาขา ต่อยอดในเรื่องของแบรนด์ หาแอมบาสเดอร์มาทำงานกับเรา ช่างตัดผมที่ผมมั่นใจว่าคุยภาษาเดียวกัน ภาคใต้คนหนึ่ง ภาคกลาง อีสาน ตะวันออก มารวมๆ กัน เด็กๆ ก็เป็นฐานให้เรา เขาเชื่อมั่นในการทำงานของเราอยู่แล้วก็สนับสนุนในหลายๆ งาน ก็ทำได้ เป็นที่ยอมรับของช่างตัดผม เราทำงานสายนี้ด้วยความชัดเจน ตรงนี้สายบาร์เบอร์สมัยใหม่ทุกคนรู้จักผมหมดแล้วว่าทำงานชัดเจน มีร้านหลายสาขา มีผลิตภัณฑ์ การทำงานหลายๆ งาน ทำงานร่วมได้กับทุกฝ่าย โดยไม่ติดสัญญากับใคร ทำให้เราสามารถเติบโตได้เร็วกว่า ดีกว่าเข้ากับแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง พอเวลาทำงานก็มีคนเข้ามาสนับสนุน ว่าหลักการทำงานของเราชัดเจน การจัดการแข่งขันมา ผมก็จัดหลายๆ งาน วงการบาร์เบอร์พัฒนามาไกลมาก เราก็ภูมิใจว่าเป็นการทำงานของช่างรุ่นใหม่ ที่ทำวงการบาร์เบอร์ด้วยความคิดเด็กรุ่นใหม่อยากได้อะไร ไม่อยากได้อะไร ทุกคนก็ยอมรับเรา ตอนนี้คิวงานผมก็แน่นทั้งปี รอกันปีหน้าอีกปีเลยว่าจะมีโปรเจ็คท์อะไรอีกที่จะเข้ามา”
มุมมองการบริหารงาน และคอนเซ็ปท์ตกแต่งร้าน ฮิปสเตอร์ ก็ดูเหมือนจะแตกต่างจากแนวคิดของบาร์เบอร์ต่างๆ เป็นอย่างไรบ้างกับตรงนี้
“อันดับแรกในการบริหารงาน ก็คือเราจะแต่งตั้งน้องคนขึ้นมา โดยมีเราบริหารงานอยู่ข้างหลัง มีผู้จัดการร้าน ส่วนผลิตภัณฑ์ผมทำเองคนเดียวทุกอย่าง ตั้งแต่ผลิต จนขาย งานบาร์เบอร์ที่วงการเราทำอยู่ รับแค่อาทิตย์ละ 1 งาน เราต้องมีเวลาพัก ต้องทำงานตัวไหนบ้าง เราต้องเตรียมงานหลายเดือน ผมเป็นคนทำงานทุกโอกาสที่ได้รับมาอย่างเต็มที่ ทำงานวันหนึ่ง 3 ส่วน ผมนอนแค่ 1 ส่วนจาก 4 ส่วน ทำงาน 18 ชม. พักผ่อน 6 ชม เพื่อทำงานให้เยอะที่สุด เวลาพักผ่อนเรายังมีอีกเยอะ ก็เป็นคนที่ติดจากการงทำงานแบบนี้มานานมาก ตอนทำที่บริษัท เราก็ทำแบบนี้ เราต้องทำงานให้ได้เยอะ ผมเชื่อแบบฝรั่ง จีน เขาจะทำงานได้เยอะกว่า เพราะเจ้านายเก่าเป็นคนจีน เขาจะสอนผมตอนทำงาน พยายามทำงานให้ได้เยอะ ยอมเหนื่อยในช่วงแรก แล้วค่อยพัก เวลาพักอีกเยอะ วันข้างหน้า ธุรกิจอยู่ตัวทุกอย่างก็จะสบาย ได้พัก ตอนนี้มีงานอีกหลายอย่าง งานใหญ่เลยก็บาร์เบอร์เวิลด์ จัดที่เชียงใหม่ ทางเจ้าภาพเชิญไป เราก็มีทีมงานของเราขึ้นไป งานใหญ่ส่งท้ายปีเลยครับ ส่วนการตกแต่งร้านสไตล์ผมคือผมจะใช้ฮิปเปอร์ สไตล์หนึ่งเลย คือแต่งแนวร้านไม่ถึงกับยุโรปจ๋า ไม่ถึงบ้านๆ จ๋า ตีโจทย์จากตัวเอง เราเบื่อการเข้าร้านแบบเดิมๆ ตัดผมแล้วกลับ นึกถึงเราเอง เราทำงานเหนื่อย เราชอบไปดื่มเหล้า นั่งฟังเพลง เราก็อยากให้ร้านเรากึ่งแนวพักผ่อน รู้สึกดีตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าไป บรรยากาศในร้านจะไม่เหมือนบาร์เบอร์ธรรมดา อาจมีกรอบรูปเมืองนอก มีเกม มีบาร์เหล้าในร้าน ที่ต้องมีคือผมนึกถึงตัดผมฝรั่ง ฝรั่งชอบตัดผมและดื่มเหล้าในร้าน เข้าไปในร้านตัดผม มันได้มากกว่าร้านตัดผม รู้สึกผ่อนคลาย บวกกับการตัดผม นั่งฟังเพลงชิลๆ จะดื่มเบียร์ เราก็มีบริการขาย มันผ่อนคลายนะ ทำงานเหนื่อยๆ ตัดผมสบายๆ มีเบียร์จิบเย็นๆ มีเกมส์ให้ลูกค้ารอนานได้เล่น เป็นเกมเพลย์ 4 ซึ่งเราลงทุนเล่นฟรีๆ ไปเลย ให้นึกถึงบรรยากาศเราอยู่บ้าน เราอยากทำอะไรก็ได้ทำ คือผมจะตอบโจทย์ของกลุ่มลูกค้าในย่านนั้นๆ มากกว่า ไม่ได้แต่งบาร์เหล้าทุกร้าน เรานำการตลาดมาด้วย จุดประสงค์ของเราคือตอบโจทย์ลูกค้า 8 สาขาแตกต่างกันไป แต่เราเดินไปสาขาไหนก็มีความสุขได้ทุกสาขา อย่างบาร์เหล้ามี 2 สาขา คือเคหะร่มเกล้า กับสาขาสุวรรณภูมิ ลาดกระบัง โซนนอกไม่ต้องแข่งขันมาก ต้นทุนทำร้านก็ไม่สูงมาก เราบุกเบิกรายใหม่ในโซนนอก ข้างในเยอะมาก ผมอยู่ด้านนอก เติบโตก่อน จุดประกายก่อนดีกว่า อย่างสุวรรณภูมิ อยู่หน้าโรงแรม มีฝรั่งผมก็ตีโจทย์ตามกลุ่มลูกค้าเลย เราก็เปิดสาขาตรงนี้ เพื่อคนไทยครึ่งหนึ่ง ฝรั่งครึ่งหนึ่ง งานของเราไม่ได้ตัดห้านาทีสิบนาที งานเราต้องละเอียด งานต้องเติบโตได้ มีจุดขายร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม”
แน่นอนว่ายิ่งสูงก็ยิ่งหนาว ยิ่งเติบโตในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน บังลิคกล่าว่ามีผลกระทบแน่นอน จะมากน้อยก็แตกต่างกันไปในสายงานอาชีพ แต่เราต้องพัฒนาและต่อสู้ ถ้าไม่สู้ เราก็ล้ม !
“ผมบอกเลยว่าเศรษฐกิจไม่ดี มีผลกระทบทุกธุรกิจนะ แต่ด้วยเรามีฐานลูกค้าอยู่แล้ว บวกกับเราไม่ได้มีแค่ส่วนเดียว เรามีผลิตภัณฑ์ที่เดินทางขายทั่วประเทศ แต่ยอดอาจจะไม่ได้เยอะเหมือนตอนเศรษฐกิจดีๆ แต่อาชีพตัดผมยังไงก็ไม่ตก เพราะผมเราไม่ได้หยุดยาว มันก็เลยทำให้ช่างตัดผมยังอยู่ได้ แต่จากลูกค้าเคยตัดครึ่งเดือนครั้ง อาจจะเหลือ หนึ่งเดือนครั้ง เราก็ยังได้เราได้จากการขายผลิตภัณฑ์ ฐานลูกค้าก็เพิ่มเรื่อยๆ ซึ่งยุคภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ มุมมองของผม เป็นคนมองการตลาดล่วงหน้า ไม่ได้มองเดือนหน้า เดือนต่อไป มองไปเป็นปีๆ เลย วางแผนระยะยาวไว้ว่าปีหน้าเราจะทำโรงเรียน ด้วยเศรษฐกิจแบบนี้ คนคิดแบบผม ออกมาหาอาชีพส่วนตัว อาชีพแบบผม เรียนง่าย ทำง่าย ต้นทุนไม่สูงมาก ก็มีโปรเจ็คท์ว่าปีหน้าจะทำโรงเรียนตัดผมกัน จะทำบาร์เบอร์ซาลอนเลย คือผมผู้หญิงติดต่อมาหลายสถาบันติดต่อให้ร่วมกัน จะยิ่งใหญ่ได้ เพราะเขาก็เจ๋งในสายซาลอน เราก็บาร์เบอร์ มารวมกันน่าจะไปได้ไกล ก็คิดว่าน่าจะเป็นปีหน้า เป็นโรงเรียนในอนาคตที่เรามองเห็นว่าเศรษฐกิจปีหน้าคนจะตกงานเยอะ แต่คนที่ตกงานก็มาเรียนกับเรา เพื่อทำธุรกิจส่วนตัว ผมมองไว้ก่อน มองไกลๆ ถ้าเราวางแผนชีวิตดีๆ การทำงานดีๆ ก็ไปได้อีกไกลมาก มันไม่ได้จบแค่นี้ แต่ผมมองการตลาดล่วงหน้าไว้อีกสามปีเลยนะ บอกไว้ก่อนว่า ตัวผมเป็นคนไม่มีต้นทุน เราเริ่มต้นมาจาก 0 ผมมีเงินแค่หนึ่งแสนติดตัว พ่อแม่ไม่ได้รวย เราจะทำยังไงให้เงินหนึ่งแสน เป็นเงินห้าล้านสิบล้านได้ เราต้องเดินอย่างระมัดระวัง ถ้าเรามีต้นทุนอย่างคนอื่น เราอาจจะก้าวอย่างประมาทก็ได้ แต่เราต้องรอบคอบเพราะเราไม่มีต้นทุน“
แนวทางที่อยากฝากไว้…
“แนวคิดผมไม่ซับซ้อนนะ เพื่อนๆ สามารถใช้แนวคิดผมได้ คือเราต้องเก็บโอกาส และทำทุกโอกาสที่เข้ามาอย่างรอบคอบที่สุด เพราะเศรษฐกิจไม่ดี ต้องมีคนที่เดินมาแบบผม ด้วยต้นทุนที่ต่ำ ถ้าคุณเดินพลาด มันก็จบ ถ้าคุณเดินด้วยความรอบคอบ ไม่ประมาท คุณจะเดินไปได้ไกลกว่า เปิดรับสิ่งใหม่ๆ เพื่อพัฒนาตัวเองตลอดเวลา ช่างผมก้าวหน้าตลอดเวลา เราต้องพัฒนาตลอด ไม่งั้นคนอื่นก็ก้าวนำเราไป ต้องมองทุกอย่างให้เป็นโอกาสครับ ต้องบอกตัวเองว่า ทุกโอกาสที่เข้ามา เราต้องยอมรับและทำให้ดีที่สุดนะ”
ไม่ธรรมดาเลย สำหรับคนหนุ่มไฟแรงวัยสามสิบต้นๆ อย่างบังลิค กับแนวคิดที่เฉียบคม กล้าได้กล้าเสีย และพร้อมลุยกับทุกโอกาสที่ถูกหยิบยื่นให้ ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน เราคงต้องยอมรับว่า เมื่อถอยไม่ได้ เราก็ต้องเดินหน้ากันต่อไป สู้กันต่อไป รับกับทุกโอกาสที่เราได้มา ความสำเร็จรอเราอยู่ข้างหน้าเสมอ นี่คือจากวันนั้นถึงวันนี้ในชีวิตของ “บังลิค ฮิปสเตอร์” เขาล่ะ !