จากก้าวสู่ก้าว ตำนานชีวิตต้องสู้ของ… อ.โก้ สราวุฒิ พูลทอง
จากก้าวสู่ก้าว ตำนานชีวิตต้องสู้ของ… อ.โก้ สราวุฒิ พูลทอง
สราวุฒิ พูลทอง อ.โก้ ตำนานวินเทจ
Profile
ชื่อ สราวุฒิ พูลทอง
อายุ 45 ปี
ภูมิลำเนา จังหวัดกรุงเทพฯ
การศึกษา ม. 6 กศน. และเรียนจบวิชาช่างตัดผมชายในปี 2542-2544
ที่เรือนจำพิเศษธนบุรี
ปัจจุบัน อาชีพช่างตัดผม และเป็นวิทยากรสอนตัดผมกศน. ตำบลคอกกระบือเมืองสมุทรสาคร
ผลงาน เจ้าของกิจการร้านตัดผมชายในนาม (ตำนานวินเทจ) 6 สาขา
สนับสนุนการสนทนาโดย ปัตตาเลี่ยน Gamma+
ฝากกดติดตามเพจใหม่ด้วยครับ
https://www.facebook.com/hairtoday.online/
จากประสบการณ์กว่า 20 ปี ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการตัดผมชายสไตล์วินเทจ และประสบการณ์ด้านงานแอดมินในกลุ่มช่างตัดผมชาย รวมถึงผู้จัดงานการแข่งขันตัดผมกลุ่มช่างผมกลุ่มช่างตัดผมชาย นับตั้งแต่ปีที่ 5 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ที่สามารถการันตีความมากฝีมือและความเก่งฉกาจในการฝ่าฟันและสู้ชีวิตตามความฝันของชายหนุ่มวัย 45 ปี อย่าง อ.โก้ สราวุฒิ คนนี้กันได้ จากเด็กหนุ่มที่จบการเรียนวิชาช่างผมชายมาจากในเรือนจำพิเศษ เขาก้าวมาถึงวันนี้ได้ ด้วยประสบการณ์ที่โชกโชนเช่นไร ไปฟังเรื่องราวน่าสนใจของ อ.โก้ กันเลย !
“ถ้านับจากชีวิตช่วงแรกๆ ในช่วงวัยรุ่นผมเกเรไปหน่อยนะ ไปตามเพื่อน ในยุค 90 เขาจะไปตามกัน ใครว่าดีก็ไปตามเพื่อน เกเรบ้าง ไม่ค่อยรักดีเท่าไหร่ ตามเพื่อนไป เพื่อนว่าดี ไปยกพวกตีกัน ตะลุมบอนกัน ในช่วงวัยรุ่น ไม่ธรรมดาเหมือนกัน ผมก็มีกันสองคนพี่น้อง แต่น้องชายผมโดนยิงเสียชีวิต ส่วนผมเองก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน คือช่วงวัยรุ่น ช่วงไปเที่ยวตามผับ มีวัยรุ่นหาเรื่อง ก็มีโดนตีเข้ากกหู หูฉีก หัวแตก แล้วเคยโดนเก็บโจทย์แถวบางหว้า โดนสกรัม ตอนนั้นหนักมากครับ เอนขาดไปสามนิ้วด้านขวาด้วย แต่โชคดีที่หมอเย็บให้ทัน แต่ก็ยังใช้งานไม่ค่อยดีเหมือนเดิม”
จุดเปลี่ยนชีวิต จากที่เคยเป็นเด็กเสเพลมาก่อน
“ก่อนจุดเปลี่ยนก็ลำบากนะ คือหนักสุดถึงกับติดยา และขายยา แต่เราก็ไม่ได้ตั้งใจจะขายอะไรมากมาย ไม่ได้ขายเป็นรายใหญ่เป็นร้อย เป็นพันเม็ด มันเหมือนเราซื้อมาทีละสิบ ยี่สิบเม็ด แล้วเอามาขายต่อเพื่อน แต่มาเจอจังหวะเขาออกปราบปรามพอดี ช่วงนั้นเขาจะไม่มีรอลงอาญานะ ถ้าใครจำหน่ายก็โดนจับติดคุกไปเลย ประกันก็ไม่ได้เพราะทางบ้านก็ไม่ได้มีฐานะดีพอที่จะประกัน ตัวเราได้ ก็ต้องยอมติดคุกนะ ผมโดนไป 2 ปี 6 เดือน ช่วงนั้น รู้สึกเลยว่า คนเราไม่เคยติดนาน ปีสองปี เหมือนเวลามันหายไป เราน่าจะใช้เวลานั้นให้เป็นประโยชน์ เราไม่น่ามาเสียเวลาอยู่ในนั้น แทนที่จะทำงานได้ต่อปีเท่าไหร่ พ่อแม่พี่น้องก็ลำบาก ผมก็พยายามเรียนไปทั่ว ช่างไฟ ช่างผม เรียนปริญญาตรีด้วย แต่ผมถูกปล่อยออกมาก่อน จบปริญญาตรีในนั้นต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน แล้วผมได้อภัยโทษออกมาก่อน 3 เดือน”
หลังจากออกมา เริ่มต้นชีวิตใหม่จุดไหนก่อน
“ผมออกมาจากเรือนจำ ประมาณปี 2544 ตอนนั้นก็เคว้งเหมือนกันนะ ต้องปรับตัวเยอะมาก เราไม่คุ้นเคยกับการอยู่ด้านนอกเลย แล้วครอบครัวก็แตกแยก แฟนผมก็ไม่สามารถรอเราได้ ก็เลิกรากันไป เราก็เริ่มต้นใหม่ โฟกัสไปที่งานก่อน เสื้อผ้าก็เหลือแค่ที่แม่เก็บไว้ให้ มีอยู่สองสามชุด รองเท้าแตะอีกคู่ ก็เลยไปขอเสื้อผ้าจากพี่ช่างตัดผม แล้วก็ขอเขาทำงาน ให้เขาสอนงานให้ เขาก็บอกว่า ถ้าตั้งใจก็มาเลย ตอนนั้นผมอยู่บางพลี แม่ให้เงินมา 300 ก็ไปบางขุนนนท์ บ้านพี่ชาย ก็พาไปรู้จักกับเจ้าของร้าน เจ้าของก็ใจดี ช่วยเหลือผมดีมาก ให้พักชั้น 4 กับพวกชายโสด ช่างซ่อมรถ ผมก็อยู่มุมหนึ่ง นอนห้องเดียวกัน หาร 3 ราคาเท่าไหร่ก็หารกัน แต่พี่ชายผมก็ออกให้ก่อน ผมก็ไปช่วยงานในร้าน ตัดผมฝึกมือไปด้วย เช็ดกระจก ทำความสะอาดร้าน เพราะร้านที่ผมไปช่วยคือใหญ่มาก ระดับสส. ผู้ใหญ่ไปตัด สส.องอาจ เสรี พิสุทธิ์ ลูกชายเสรี มานพ อัศวเทพ ร้านจะมีชื่อเสียงมาก เราช่างใหม่ก็จะเกร็งๆ หน่อย ก็ตัดเฉพาะงานเล็กๆ ก่อน แต่พอพี่ชายเห็นว่าเราฝึกโอเค.แล้วก็เริ่มมีเงินแล้ว เพราะตอนแรกนี่กินมาม่าอย่างเดียวเลย พี่ชายให้อาทิตย์ละร้อยเดียว พี่สะใภ้ทำอาหารเหนือให้กิน ผมก็ไม่ค่อยถูกปากเนอะ ก็เลยกินแต่มาม่า จนโดนแซวเลยนะว่าไม่เบื่อเหรอ เราก็ว่าเราชอบนะ แต่จริงๆ คือตังค์เราไม่มีนั่นล่ะ มีอะไรก็ต้องประหยัดไว้ก่อน”
มีทางเลือกอื่นที่เคยมองนอกจากช่างผมมั้ยคะ
“มีเหมือนกันนะ ด้วยความที่เราจบ ม.6 สมัยนั้น เรียนจบแค่นี้ก็ถือว่าวุฒิสูงแล้วนะ ไปสมัครที่ไหนเขาก็รับ แม่ผมเขาก็ว่า ไปทำงานโรงงานดีกว่ามั้ย เงินก็จะดีหน่อย หรือเป็น รปภ. เราอยากเป็นมั้ย คือแม่ก็พยายามช่วยดูๆ งานให้ เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แนวๆ นี้ เพราะแถวบางพลีติดนิคมอุตสาหกรรม งานโรงงานค่อนข้างเยอะ แต่ผมว่าช่างผมเป็นอาชีพอิสระนะ ไม่อยากไปเป็นลูกน้องเขา ไหนๆ ก็โสดแล้ว ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่แบบอิสระดีกว่ามั้ย แต่ช่วงนั้น ผมไม่ยุ่งเกี่ยวยาเสพติดอีกเลยนะ กับเรื่องผู้หญิงผมก็ไม่มีมาข้องเกี่ยวเลย เหมือนเราอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่จริงๆ แต่ปีที่ 3 พอเริ่มมีเงิน มีเพื่อน ก็มีไปเที่ยวคาราโอเกะบ้าง กินเหล้ากันบ้าง มีสังสรรค์ ตามประสาคนโสดตอนนั้น ก็เสียเงินไปกับเรื่องกินเที่ยวหลายปีเหมือนกัน”
ช่วงเที่ยวนี่คือยังเป็นช่างในร้าน
“ใช่ๆ ช่วงนั้นมันเหมือนกับว่า เราเป็นช่างตัดผมในร้านมันไม่ต้องลงทุนอะไร ผมมองว่าสมัยนั้น ลงทุนก็ต้องเป็นหลักแสน ถ้าทำจะทำร้านเอง เราก็อยากทำร้านดีๆ มาเปิดแบบร้านเล็กๆ พัดลมตัวเดียว ผมว่ามันก็ไม่ใช่แนวผม แต่จริงๆ เหมือนเราก็คิดผิดแหละ เพราะยิ่งนานวันเข้า การลงทุนเปิดร้านมันก็ต้องใช้เงินมากขึ้นตามไปด้วย ผมเพิ่งตีบทแตกเมื่อไม่นานนี้เองว่า ถ้าเราเปิดร้าน เราก็เทียบแต่ว่าเราอยู่ร้านใหญ่ๆ มาก่อน อยากมีร้านใหญ่ๆ เปิดร้านก็ต้องทำให้ได้อย่างเขา เลยเสียเวลามาเรื่อยๆ ผมเป็นลูกน้องเขาอยู่ 15 ปี สมัยนี้ ช่างสามเดือน นี่ออกมาเปิดร้านได้แล้วนะ เมื่อก่อนไม่มีโซเชียล อยากเป็นช่างเก่งๆ ต้องครูพักลักจำ ไปเป็นช่างร้านนั้น ดูว่าช่างร้านนี้ตัดดียังไง สมัยนั้นเขาเรียก “ช่างร้อยร้าน” เข้าๆ ออกๆ เหมือนใครอยากมีความรู้ ก็ต้องขยันเปลี่ยนร้าน ไปดูว่าช่างร้านไหน เป็นอย่างไรแบบนี้”
ตอนที่เปิดร้านเองล่ะคะ มีที่มาอย่างไรถึงได้คิดเริ่มต้นเปิดร้านเอง
“ที่เปิดร้านเอง อาจเป็นโชคดีของผมนะ ตอนนั้นผมยังติดเที่ยวอยู่ แฟนก็ห้ามไม่อยู่ก็ปล่อยผมแล้วล่ะ ผมติดเพื่อน กิน เที่ยว จนเพื่อนคนหนึ่ง เปิดร้านอยู่แถวสมุทรสาคร ร้านเล็กๆ สองตัว เขามีความจำเป็นต้องกลับบ้าน มีภารกิจต้องกลับบ้านด่วน เขาก็ไม่เอาอะไรเลยนะ ทิ้งให้ผมหมด รวมถึงเงินประกันร้านอีก 5000 เหมือนให้เราดูแลต่อ แบบไม่คิดอะไร ขอแค่มีจ่ายค่าเช่าต่อเดือนไป เพราะเขาจำเป็นต้องทิ้งร้าน ร้านอยู่แถววัดโพธิ์แจ้ สมุทรสาคร เขาก็บอกเก็บเงินวันละร้อยสองร้อย ก็พอค่าเช่าแล้ว ผมจำได้เหลือตังค์ติดตัวไปร้านแค่ 30 บาท ยืมเพื่อนไว้ได้อีก 100 มีชีวิตเริ่มต้นที่ 130 บาท กับกาน้ำเก่าๆ ต้องเปิดฝาตักน้ำเอานะ เพื่อนก็สอนว่า ถ้าประหยัดหน่อย ซื้อมาม่าไว้ต้ม น้ำเปล่าก็กดน้ำไว้เยอะๆ ไว้กิน ผมก็ทำตามเขาบอก เช้ามาก็ต้มน้ำ กินกาแฟ ไว้กินมาม่า เวลาลูกค้าน้อย ก็อยู่ได้ ในช่วงแรกๆ เราก็ปรับตัวได้ คือเลิกเที่ยว เลิกกิน เพราะเรามีภาระในการจ่ายค่าเช่าแล้ว ค่าเช่าสามพันกว่า รวมค่าไฟด้วยก็ประมาณสี่ห้าพัน แต่ก็รอดมาจนได้นะ มาจนทุกวันนี้”
มีฐานลูกค้าเก่าบ้างมั้ย หรือมีจุดขายเพื่อสร้างฐานลูกค้าใหม่อย่างไรบ้างตอนนั้น
“ก็พอมีนะ แต่ไม่มาก ด้วยความที่ร้านที่ได้มา เป็นร้านเก่าแก่ ที่คนมองไม่ค่อยเห็น แล้วฐานลูกค้าจะเป็นแบบโบราณ วัยรุ่นไม่ค่อยกล้าเข้า เห็นร้านเขาก็ว่าโบราณแน่เลย วันหนึ่งสามสี่หัว มีแต่คนสูงวัย ผมก็เลยเริ่มคิดปรับว่าจะทำยังไงให้โดดเด่น พอมีตังค์ซื้อสี ก็ทาสีใหม่ เอาไฟสีไฟหมุนมาติด รูปภาพสไตล์วินเทจ ให้ดูวัยรุ่น ป้ายไวนิลทำใหม่ ผมแทบเป็นเจ้าแรกที่รับวินเทจเข้ามา สมัยนั้นมีตลาดรถไฟรัชดา เราก็โห เขาตัดหัวละ 180-200 ทำไมเรายังตัดหัวละ 70-80 อยู่เลยล่ะ เขาไปถึงไหนกันแล้ว ผมก็เอาเลย เริ่มพัฒนาร้าน ปรับมุมมองใหม่ หารูปจากยูทูปมาปริ้น แล้วเอามาแปะหน้าร้าน เราตัดผมสไตล์วินเทจได้นะ มีเฟสบุ๊ค ก็สร้างเพจขึ้นมา ได้รับการต้อนรับดีมาก ในราวสิบปีที่แล้วนะ ตัดกันแทบไม่ทันเลยนะ เพราะผมไม่มีลูกน้อง กลัวจะไม่มีเงินจ่ายลูกน้อง จนเริ่มรับไม่ไหว เลยรับช่างมาคนหนึ่งก่อน แต่ตอนนี้ผมปรับมาเป็น 4-5 สาขาแล้วนะ แล้วผมโชคดีตรงที่ มองแนวทางวินเทจ ไปเช่าตลาดใหญ่สุดในมหาชัย กางเต็นท์ เปิดไฟตัดผม สไตล์วินเทจ ลูกค้าให้การตอบรับ เอาช่างไปสามคน เต็นท์ตัวเล็กๆ นิดเดียว แต่คนล้นหลามตัดกันไม่ไหว แต่ตอนนี้จากกางเต็นท์ เราทำเป็นร้านสไตล์วินเทจเลย มีไม้ลัง มีสังกะสี ก็ยังทำอยู่ ตอนเย็นผมก็ไปจากสาขา 5 มหาชัย ไปที่ตลาดนัดเลย”
นอกจากงานช่างผม ได้ทำงานอื่นๆ ด้วย
“หลายอย่างอยู่เหมือนกันครับ เป็นแอดมินเพจกลุ่มมีสมาชิกแสนสาม ผมก็ตั้งเป็นกลุ่มบาร์เบอร์ช่างสมชาย มีอาจารย์ระดับประเทศ สมาพันธ์ อาจารย์ดังๆ อยู่ในนี้หมด ปีที่ 5 ผมจัดประกวด เอาเนตไอดอลในเมืองไทยมารวมกัน มีมิสติ้ง ปีที่ 6 จัดใหญ่ มีดีแคชมาซัพพอร์ต จัดงานที่บางใหญ่ จนเป็นที่รู้จักของคนไทยทั้งประเทศ จัดมาเรื่อย ปีที่ 7 ปีที่ 8 ก็จัดใหญ่ ผู้บริหาร โลแลนด์ ดีแคช มาหมด ปีนี้เป็นปีที่ 9 แล้ว คิดว่าจะจัดใหญ่กว่าทุกปีเลยนะ แต่ต้องขออุบไว้ก่อน ใกล้ๆ วันงานก็จะค่อยๆ ปล่อยความน่าสนใจออกมา”
ความโดดเด่นในงานช่างผมของเรา
“ผมว่าจะเป็นในส่วนของการริเริ่มสไตล์วินเทจนะ มันเหมือนกับว่า เราโตมาจากสิ่งนี้เลย และชื่อร้านผมด้วย สไตล์วินเทจ คือทุกคนจะจดจำกันได้ มาหลายยุคหลายสมัย แล้วผมก็เป็นอุปนายกสมาสรไลออนส์ เป็นจิตอาสา เป็นสโมสรที่มีช่างตัดผมมารวมตัวกัน ได้เข็มจากทั่วโลก”
ยังมีอะไรอีกบ้างมั้ยคะ ที่อยากทำในอนาคต “ผมคิดว่า ผมมาถึงจุดนี้ได้ ผมว่าผมมาไกลเกินตัว ในวันที่เพื่อนทิ้งร้านให้ ผมคิดว่าผมคงทำร้าน ตัดผมไปเรื่อยๆ แต่ตอนนี้ผมไปไกลมาก เป็นวิทยากร กศน. วิทยากรเรือนจำสมุทรสาคร จ้างเป็นคอร์สไป เข้าไปเพื่อนสอนตัดผม การดำเนินชีวิต บำบัดยาเสพติด ผมก็เข้าไปสอน ไปบอกเล่าเรื่องราวที่เราเคยประสบมาก่อน เพราะแบบนี้ๆ นะ เราถึงต้องเข้ามาอยู่ในนี้ แต่เราเสียเวลาชีวิตไปขนาดไหน มันน่าเสียดายนะ ก็มีการนำไปเสริมสร้างประสบการณ์ให้เขาเรียนรู้ไปพร้อมกับเราครับ เพราะผมเอง กว่าจะผ่านชีวิตช่วงนั้นมาได้ มันก็ค่อนข้างลำบากอย่างที่บอก แต่ตอนนี้มีครอบครัวใหม่ ก็เป็นอนาคตที่เราคิดว่าเกินคาดหวังแล้วนะ มีลูกสองคน คนโตก็ทำงานแล้ว ส่วนคนเล็ก เรียน ม.2 เราก็ได้ดูแลเขาไป ด้วยงานอาชีพของเรา
สิ่งที่อาจารย์อยากฝากไว้เป็นข้อคิด สำหรับน้องๆ รุ่นหลัง
“อันดับแรก อยากฝากถึงช่างตัดผม คนที่อยากเรียนตัดผม หรืออยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ไม่ได้ใช้ทุนทรัพย์มากมาย มีโต๊ะเดียว เราก็เปิดร้านได้ แต่สำคัญคือคุณต้องมีประสบการณ์ มีความชำนาญในการตัดผม ไม่ใช่ว่า คุณเก่งในห้องเรียน คุณจบเกียรตินิยมมานะ มันไม่ใช่ เพราะงานช่างผมเป็นงานแฮนด์เมค หัวเดียวนี่ล่ะ ช่างคนเดียวกัน ต้องตัดยังไง ต้องศึกษา ต้องใช้วิธีการจดจำ ประสบการณ์ ก็สามารถเปิดร้านได้ ต้องตีโจทย์ให้แตก ส่วนน้องๆ นะ ช่วงนี้ยาเสพติดระบาดหนักมาก ก็อยากฝากว่า อย่าไปสนใจ ไปตามเพื่อน ยาเสพติดมันไม่ดีกับเราเลย ทั้งสุขภาพ ทุกอย่าง ผมเองนี่คือเลิกหมดเลย บุหรี่ก็ไม่สูบแล้ว อาจจะมีทานเหล้าบ้าง อันนั้นเป็นการสังสรรค์กับเพื่อนฝูงกันตามวาระ ตามสังคมเป็นเรื่องปกติ ผมว่าคนเราคงไม่ได้เป็นคนดีเต็มรูปแบบกันได้ทุกคนเนอะ เราต่างก็มีข้อด้อย จุดเสียของตัวเองกันบ้าง แต่เราก็ย่อมมีส่วนดีในตัวเองด้วยเช่นเดียวกันครับ”
ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่แต่ละคนจะก้าวผ่านความยากลำบากในชีวิตมาได้ แต่เมื่อผ่านมาได้แล้ว ประสบการณ์ที่ผ่านมา จะสอนให้เราเป็นคนใหม่ที่แข็งแกร่งขึ้นได้เสมอ ไม่ต่างจาก “อ.โก้ สราวุฒิ พูลทอง” ที่เรียนรู้ประสบการณ์การตัดผมสไตล์วินเทจ ในแบบที่ชอบ จนนำไปสู่ความสำเร็จ และจุดหมายที่เกินคาดหมายในชีวิตของเขาไปแล้วในวันนี้ของชีวิต !